เมื่อกลับบ้านวันนี้ หนูจะได้
- เรียนรู้ชีวิตของหมอบรัดเล่ย์ที่ยอมเสียสละตนเอง เพื่อผู้อื่นจะได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเยซูคริสต์
- รู้ว่าการเสียสละของพระเยซูเป็นสาเหตุที่ทำให้หมอบรัดเล่ย์สามารถอดทนรับใช้พระเจ้าในประเทศไทยได้ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
- ยอมเสียสละสิ่งของส่วนตัวบางอย่างเพื่อคนอื่นจะได้มีโอกาสได้ยินเรื่องของพระเยซู
ข้อท่องจำ
“พระเจ้าได้ซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้าด้วยร่างกายของท่าน” -1 โครินธ์ 6:20
T I P S สำหรับคุณครู
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เด็กหลายคนอาจจะนึกสภาพบ้านเรือน ความเป็นอยู่ของคนไทยในช่วงชีวิตของหมอบรัดเล่ย์ไม่ได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นหากเป็นไปได้ ครูอาจจะหาภาพถ่ายบ้านเรือน ตลาด ถนนหนทางจากหนังสือแบบเรียน หรือนิตยสาร หรือพิมพ์จากอินเตอร์เนท เพื่อเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็น และสามารถจินตการเหตุการณ์ตามบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น
เกม “แปะคุณหมอ” (ดัดแปลงจากเกมแตะหุ่น)
วิธีเล่น
- ครูกำหนดเขตแดนสี่เหลี่ยมหรือวงกลมที่เด็กๆ สามารถวิ่งในเส้นที่กำหนด
- เลือกเด็กหนึ่งคน (อาจใช้วิธีจับไม้สั้นไม้ยาวหรือโอน้อยออก) ให้เป็นคนวิ่งไล่แปะเด็กคนอื่นๆ
- เมื่อคนวิ่งไล่แปะใครได้ คนนั้นต้องหยุดนิ่งโดยมีข้อแม้ว่าจะต้องทำท่าให้เป็นหมอ เช่น กำลังใช้หูฟังเสียงหัวใจ กำลังผ่าตัด กำลังใช้ไฟฉายส่องคอคนไข้ เป็นต้น
- คนที่ถูกแปะจะต้องหยุดนิ่งในท่านั้น จะเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนท่าทางไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนท่าจะต้องตายและมาเป็นคนไล่แทน
- ถ้าคนวิ่งไล่แปะทุกคนให้เป็นหุ่นหมอได้ทั้งหมด คนไล่สามารถแสดงท่าทางหลอกล้อต่างๆ พยายามทำให้หุ่นยิ้มหรือหัวเราะ ใครที่ทนไม่ได้และเคลื่อนไหวต้องมาเป็นคนวิ่งไล่แปะแทน
ชีวิตของหมอบรัดเล่ย์
ภาพที่ 1 เมืองไทยในสมัยของหมอบรัดเล่ย์ไม่เจริญเท่าทุกวันนี้ ปัญหาที่ประชาชนมีไม่เว้นแม้แต่เจ้าขุนมูลนายหรือราชวงศ์ต้องประสบ คือความเจ็บป่วยและโรคระบาด ในแต่ละปีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากด้วย ไข้ป่า ไข้เหลือง ไข้ทรพิษ(ฝีดาษ) และโรคห่า(อหิวาตกโรค) ในเวลานั้นยังไม่มีวัคซีน ไม่มียาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะไปพึ่งหมอผี ไสยศาสตร์ น้ำมนต์คาถาอาคมในการรักษา
เมื่อหมอบรัดเล่ย์มาถึงกรุงเทพฯ ท่านก็เช่าบ้านไม้ใต้ถุนสูง ฝาบ้านขัดด้วยไม้ไผ่อยู่แถวตลาดสามเพ็ง (สำเพ็งในปัจจุบัน) ท่านก็ดัดแปลงใต้ถุนด้านล่างให้เป็นห้องนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์ และเปิดเป็นสุขศาลา(คลีนิก)รักษาคนป่วยในวันธรรมดา ซึ่งสุขศาลานี้นับเป็นสถานพยาบาลแห่งแรกในแผ่นดินสยามก็ว่าได้ หมอบรัดเล่ย์ไม่ใช่มิชชันนารีชาวต่างชาติคนแรกที่เข้ามารับใช้ในเมืองไทย แต่ท่านเป็นหมอมิชชันนารีชาวอเมริกันคนแรกที่เป็นผู้ริเริ่มและบุกเบิกการแพทย์แผนปัจจุบันในเมืองไทย
ภาพที่ 2 หมอบรัดเล่ย์มีเครื่องมือแพทย์หน้าตาแปลกๆ ครบครัน เช่น เครื่องฟังเสียงหัวใจเต้น คีม มีดผ่าตัด ค้อนยาง ช่วงแรกๆ ก็สร้างความสะพรึ่งกลัวให้กับชาวบ้านที่มารักษา เพราะเครื่องมือเหล่านี้เป็นของที่ชาวบ้านไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย แต่เพราะคนไข้ที่มารักษากับหมอแล้วส่วนใหญ่ก็หายหรืออาการดีขึ้น ทำให้คนจากทั่วสารทิศพากันมาขอรับการรักษา หมอบรัดเล่ย์ยังมีโอกาสถวายการรักษาให้แก่เจ้าฟ้าน้อย (รัชกาลที่ 3) พระชนนี สมเด็จพระศรีสุริเยน เจ้าพระยานคร พระภิกษุสงฆ์น้อยใหญ่ จนชื่อเสียงของหมอบรัดเล่ย์เป็นที่ยอมรับไปทั่วนคร ทุกครั้งที่หมอบรัดเล่ย์รักษาคนไข้ หมอก็จะประกาศเรื่องของพระเจ้า แนบใบปลิวและพระคัมภีร์ไปให้พร้อมกับยารักษาโรค หมอไม่เคยคิดค่ารักษาจากคนไข้เพราะคิดว่างานที่หมอทำเป็นการรับใช้พระเจ้า และเป็นประตูในการประกาศข่าวประเสริฐ ชาวบ้านบางคนจึงพยายามจ่ายค่ารักษาเป็นผลหมากรากไม้ ไข่ไก่ หรืออาหาร และหากมีใครพยายามให้เงินทองเพื่อเป็นค่าตอบแทน หมอก็จะรับไว้แล้วนำไปบริจาคให้กับคนไข้ยากจนขัดสนคนอื่นต่อไป หนูเห็นแล้วใช่ไหมว่า ไม่ว่าหนูจะมีหน้าที่การงานอะไร หนูก็สามารถเป็นพยานเรื่องของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่หนูทำได้
การรับใช้ของหมอบรัดเล่ย์ต้องเจออุปสรรคความยากลำบากมากมาย เช่น ในช่วงปีแรกมีหมอหลวง หมอพื้นบ้านที่ไม่พอใจที่หมอบรัดเล่ย์รักษาคนโดยไม่คิดค่ารักษา จึงพยายามยุยงให้ร้าย แถมยังมีคนเดินเรือฝรั่งเมาเหล้าเข้าไปยิงนกในเขตวัด ทำให้คนไทยไม่พอใจเป็นอย่างมาก รุมทำร้ายฝรั่งจนต้องถึงโรงถึงศาล แล้วมาพาลคิดว่าฝรั่งนั้นเหมือนกันหมด จึงขอให้หมอย้ายออกไปจากเมือง ครั้งนั้นหมอบรัดเล่ย์จึงต้องอพยพครอบครัวย้ายไปอยู่บนแพฝั่งธนบุรี ถึงกระนั้นอุปสรรคปัญหานี้ก็ไม่ได้หยุดยั้งงานของหมอ บรัดเล่ย์แต่อย่างใด หมอบรัดเล่ย์และภรรยาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยจ่ายยาและรักษาคนไข้ผู้หญิงก็ได้ใช้แพนั้นเปิดเป็นสุขศาลาทำการรักษาคนไข้ต่อไปอย่างสัตย์ซื่อและไม่ลดละ พระเจ้าจึงอวยพรความสัตย์ซื่อของเขาโดยศาลได้มีคำสั่งว่าหมอบรัดเล่ย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งนั้น เจ้าพระยาพระคลังถึงกับออกคำสั่งปลูกบ้านหลังใหญ่ 2 หลังให้พวกมิชชันนารีมาอาศัยอยู่ ทำให้หมอบรัดเล่ย์สามารถเปิดสถานพยาบาลที่กว้างขวางและมีผู้คนมากมายสามารถเข้ามารับการรักษาได้ที่นั่น
ความยากลำบากครั้งใหญ่อุบัติขึ้นอีก เมื่อเมืองไทยเกิดโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษชุกชุม ผู้คนล้มตายกันมากมายทุกปีๆ หมอบรัดเล่ย์จึงคิดริเริ่มฉีดวัคซีนฝีดาษหรือปลูกฝีให้กับประชาชน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพราะกลัวจึงไม่กล้าให้ลูกหลานของตนปลูกฝี ขณะเดียวกันหมอบรัดเล่ย์ก็พยายามคิดค้นที่จะทำวัคซีนขึ้นเองในประเทศไทย เพื่อที่จะไม่ต้องสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศซึ่งใช้เวลานานและราคาแพง
ภาพที่ 3 ก่อนหน้าที่จะได้เชื้อเพียงวันเดียว แฮร์เรียท ลูกสาวอายุเจ็ดเดือนของหมอก็ป่วยด้วยไข้ทรพิษ หมอจึงลองปลูกฝีให้กับลูกสาวของตนเองแต่ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ได้ เพราะวัคซีนมีไว้สำหรับป้องกันไม่ใช่รักษาคนที่เจ็บป่วยเป็นโรคแล้ว แฮร์เรียทเป็นไข้อยู่ 19 วันก่อนเสียชีวิตลง ส่วนเด็กๆ ลูกมิชชันารีคนอื่นที่ได้รับการปลูกฝีก็รอดปลอดภัยจากไข้ทรพิษกันทุกคน หลังจากนั้นคนไทยก็เริ่มค่อยๆ ยอมให้หมอ บรัดเลย์ปลูกฝีให้ ท่านใช้เวลาทดลองการปลูกฝีนานถึงสี่ปี จนในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากคนไทยทั่วกรุงเทพฯ และเมืองใกล้เคียง จนสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้หมอบรัดเล่ย์สอนวิชาปลูกฝีดาษให้กับหมอหลวงกว่า 200 คนเพื่อจะได้ออกไปปลูกฝีให้กับประชาชนทั่วแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้พระเจ้าทรงใช้หมอบรัดเล่ย์ในการช่วยชีวิตผู้คนนับหมื่นนับแสนให้รอดจากโรคร้ายนี้ได้
เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการสมโภชวัดแห่งหนึ่ง กระบอกไฟพะเนียง (บั้งไฟ) เกิดระเบิดมีคนล้มตายทันที 8 คนและมีพระภิกษุรูปหนึ่งที่ถูกสะเก็ดระเบิดกระดูกแขนแตกทำให้แขนห้อยร่องแร่งน่าหวาดเสียวยิ่งนัก หมอบรัดเล่ย์จึงตัดสินใจที่จะทำการผ่าตัดแขนข้างที่ถูกระเบิดทิ้ง ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าพระภิกษุรูปนี้จะต้องตายแน่ๆ เพราะเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว คนไทยรวมทั้งหมอหลวง หมอพื้นบ้านมีความเชื่อว่าถ้าหากตัดอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดออกจากร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะภายนอก เช่น หู แขน ขา มือ คนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน หมอบรัดเล่ย์นำเอาเครื่องมือหน้าตาแปลกๆ กางไว้บนโต๊ะมีทั้งมีดผ่าตัด กรรไกร คีม เลื่อย เมื่อเตรียมเครื่องมือเสร็จเรียบร้อย ก็ให้คนช่วยกันจับพระที่ถูกระเบิดมัดมือมัดเท้าให้เข้าที่ เพราะในเวลานั้นยังไม่มียาสลบ ไม่มีมอร์ฟีนแก้ปวด หมอต้องผ่าตัดกันสดๆ
การผ่าตัดครั้งนั้นเป็นที่สนใจของคนมากมาย เมื่อหมอบรัดเล่ย์ตัดเอาแขนที่แหลกละเอียดออกและทำแผลห้ามเลือดเสร็จเรียบร้อย หมอบรัดเลย์บันทึกไว้ว่าเขานั่งเฝ้าคนไข้ทั้งวันทั้งคืน อธิษฐานขอพระเจ้าจะโปรดรักษาพระรูปนี้ให้มีชีวิตรอด เพื่อพระนามของพระเจ้าจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะในใจหมอกลัวว่าถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ไม่สำเร็จก็จะทำให้คนทั้งหลายหมดศรัทธาในตัวหมอและพาลไม่อยากจะฟังเรื่องของพระเจ้าไปด้วย พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ให้พระภิกษุรูปนั้นทนพิษบาดแผลและการเสียเลือดได้ และปลอดภัยมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีแขนอีกหลายสิบปีทีเดียว
ภาพที่ 4 หมอบรัดเล่ย์รักษาคนไข้และช่วยเหลือคนไทยเป็นเวลา 38 ปีโดยที่ท่านไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเลย ยกเว้นช่วงที่เอมิลี่ภรรยาของท่านเสียชีวิตด้วยโรควัณโรค ท่านจึงกลับไปสหรัฐฯ พร้อมกับลูกๆ หลังจากนั้นท่านแต่งงานใหม่กับนางซาร่าห์ และได้นำครอบครัวของท่านกลับมารับใช้ในเมืองไทยต่อไป
การทนทุกข์ต่อความเป็นอยู่ เป็นสิ่งเล็กน้อยที่หมอบรัดเล่ย์คิด การสูญเสียคนที่เขารักไม่ว่าจะเป็นลูกสาวและภรรยา แม้จะนำความเจ็บปวดมาให้เขาอย่างมาก แต่หมอบรัดเล่ย์ก็รู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครองอยู่ “พระเจ้าประทานให้ และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (โยบ 1:21) เมื่อเทียบกับการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พระองค์ยอมสละบัลลังค์บนสวรรค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และยอมทนทุกข์ทรมานจนถึงความตายเพื่อเราทั้งหลายซึ่งเป็นคนบาป หมอบรัดเล่ย์สำนึกในความจริงข้อนี้จึงมั่นใจในแผนการของพระเจ้าที่ให้ท่านรับใช้ในประเทศไทย พระเจ้าได้ทรงใช้หมอบรัดเล่ย์และหมอมิชชันนารีคนอื่นๆ ในประเทศไทยอย่างมากมาย จนชาวไทยติดปากใช้คำว่า “หมอ” แทนคำว่า “แพทย์” และ “มิชชันนารี” ผู้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยเช่นกัน จนทุกวันนี้เราก็ยังได้ยินคำว่า “หมอสอนศาสนา” ซึ่งหมายถึงมิชชันนารีนั่นเอง
บทเรียนนี้เกี่ยวข้องกับหนูอย่างไร?
ภาพที่ 5 พระเยซูยอมสละทุกสิ่งเพื่อหนู แล้วหนูหล่ะจะยอมสละอะไรเพื่อพระองค์? หมอบรัดเล่ย์ยอมรักษาคนป่วยโดยไม่คิดค่ารักษา เพื่อท่านจะมีโอกาสประกาศพระเยซูคริสต์ ท่านใช้ของประทานที่พระเจ้ามอบให้เพื่อจะบอกคนไทยมากมายถึงเรื่องของพระเยซู หนูและครูไม่ได้เป็นหมอ เรารักษาคนป่วยไม่ได้ แต่หนูมีวิธีไหนไหมที่หนูสามารถทำได้เพื่อทำให้คนอื่นมารู้จักกับพระเยซูของเรา? หนูจะยอมถวายเงินที่หนูสะสมไว้ ให้กับผู้รับใช้ที่ประกาศกับคนไทยภูเขาหรือในประเทศพม่าหรือลาวไหม? หรือหนูจะยอมเอาเงินของหนูไปซื้อของขวัญให้เพื่อนและแนบการ์ตูนพระคัมภีร์ให้เขาได้อ่าน หนูจะยอมเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนในห้องเรียนไหม? บางทีเพื่อนคนนั้นอาจจะต้องการคำหนุนใจและหนูสามารถบอกเขาว่าพระเยซูสามารถเป็นเพื่อนที่ดีและสามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างไร?
รูปภาพประกอบ
ข้อกำหนดในการใช้บทเรียนรูปภาพ เราต้องการให้บทเรียนและรูปภาพประกอบเป็นพระพรสำหรับทุกท่าน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากท่านที่จะไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือใช้ในทางที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์ของเรา
คำถามอภิปราย
- ปัญหาใหญ่ของประชาชนคนไทยในสมัยนั้นคืออะไร?
- หมอบรัดเล่ย์ใช้วิชาการแพทย์ของเขาในการประกาศอย่างไร?
- หนูสามารถใช้ความสามารถของหนูในการประกาศได้อย่างไรบ้าง?
- พระเจ้าใช้หมอบรัดเล่ย์ในการช่วยชีวิตคนไทยอย่างไรบ้าง?
- เมื่อหมอบรัดเล่ย์ผ่าตัดแขนของพระภิกษุ หมออธิษฐานขอพระเจ้ารักษาเขาเพื่ออะไร?
- ในโยบ 1:21 “พระเจ้าประทานให้ และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” หมอ บรัดเล่ย์ต้องสูญเสียใครในครอบครัวของเขาไปบ้าง?
- หนูคิดว่าหนูสามารถเสียสละอะไรบ้างเพื่อคนอื่นจะได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า และได้รู้จักพระองค์ ได้รับความรอดเหมือนหนู?
กิจกรรม
ไปใกล้ หรือ ไปไกล
สิ่งที่ต้องเตรียม
- กระดาษขนาด A4
- ดินสอ
- สีโปสเตอร์หรือสีน้ำ
- พู่กัน หรือฟองน้ำสำหรับระบาย
วิธีทำ
- แจกกระดาษให้เด็กคนละ 4 แผ่น
- ให้เด็กวางเท้าของตัวเองลงบนกระดาษ ลากเส้นตามรอยเท้าบนกระดาษๆ หนึ่งแผ่นต่อเท้าหนึ่งข้างโดยใช้เท้าทั้งข้างซ้ายและขวา
- เมื่อวาดเสร็จแล้วให้ลงสีบนเท้านั้นให้สวยงาม พร้อมเขียนชื่อลงบนกระดาษแต่ละแผ่น
- ให้เด็กเลือกเท้าออกมาหนึ่งแผ่น เขียนข้อท่องจำไว้ด้านล่าง “พระเจ้าได้ซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่าน” 1 โครินธ์ 6:20 และให้เด็กนำกิจกรรมแผ่นนี้กลับบ้านติดไว้ในห้องนอนหรือฝาบ้าน
- ส่วนรูปที่เหลือให้ครูนำมาติดไว้บนผนังห้องเรียน โดยเรียงรูปเท้าของเด็กๆ ให้เป็นเหมือนรอยเท้าที่กำลังเดินเป็นทางยาว
- แสดงให้เด็กเห็นว่า มิชชันนารีเดินทางออกไป ทั้งใกล้ (เช่น บนภูเขา ประเทศพม่า ลาว) ทั้งไกล (เช่น เมืองจีน แอฟฟริกา ฯลฯ) เพื่อทำตามคำสั่งที่พระเยซูได้บอกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” มาระโก 16:15
- ถามเด็กว่าทำไมมิชชันนารีต้องออกจากบ้านเดินทางไปที่อื่น? (เพื่อบอกคนอื่นถึงเรื่องพระเยซู) หนูสามารถไปบอกคนอื่นถึงเรื่องพระเยซูได้ไหม? (ได้แน่นอน ให้เด็กลองนึกชื่อคนที่เขาสามารถไปบอกได้สักคนหรือสองคน)