“เอาเด็กๆ มารวมกันตรงนี้ วันนี้ครูมีนิทานสนุกๆ จะมาเล่าให้เด็กๆ ฟังกัน” เราอาจเคยได้ยินคุณครูรวีฯ ใช้ประโยคนี้ในชั้นเรียนพระคัมภีร์ก่อนจะเริ่มสอนบทเรียน เรื่องเล่าของโนอาห์สร้างนาวาก่อนน้ำท่วมโลก ดาวิดต่อสู้และเอาชนะทหารตัวใหญ่เหมือนยักษ์อย่างโกลิแอท หรือว่าจะเป็นเรื่องของโยนาห์ที่เข้าไปอยู่ในท้องปลาถึงสามวันและยังมีชีวิตรอดออกมาได้ ฟังไปฟังมาดูจะเป็นเหมือนนิทานหรือเทพนิยาย เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพราะมันเหลือเชื่อเกินไป แต่อันที่จริงแล้ว เรื่องเล่าสุดอัศจรรย์เหล่านี้ที่เราใช้สอนจากพระคัมภีร์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้กระทำเพื่อสำแดงพระองค์เองแก่ประชาชาติของพระองค์ เพื่อประกาศว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ พระคัมภีร์เองก็ได้กล่าวว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เป็นพระคำของพระเจ้า และเป็นความจริง (1 ยอห์น 1:1,2-4, “เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดูและจับต้องด้วยมือของเรานั้นคือพระวาทะแห่งชีวิต .. สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้นเราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม”
พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และเหตุการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มิใช่เทพนิยาย หรือเรื่องเล่าในตำนานนิทาน ดังนั้นคุณครูสามารถปลูกฝังและตอกย้ำความจริงข้อนี้ให้กับเด็กๆ ของเราได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยการถือพระคัมภีร์ (ขอแนะนำให้ใช้พระคัมภีร์ที่เป็นรูปเล่มหนังสือ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือหรือแทปเล็ต เพื่อเด็กสามารถมองเห็นและเข้าใจได้อย่างง่ายดายชัดเจน) แสดงให้เด็กเห็นก่อนเริ่มสอน พร้อมคำพูดง่ายๆ เช่น “เรื่องสนุกๆ ที่ครูจะเล่าในวันนี้มาจากพระธรรม (เติมบทและข้อ) พระคำของพระเจ้าเป็นความจริง” หรือ “บทเรียนที่พวกเราจะเรียนกันในวันนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า”
เริ่มสอนความจริงให้กับเด็กในวันนี้ เพื่อพวกเขาจะไม่พรากไปจากทางของพระเจ้าในวันข้างหน้า!