บทเรียน : การเดินทาง ที่ตีมูลค่าไม่ได้

ข้อท่องจำ

“พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย" - มัทธิว 18:14

เมื่อกลับบ้านวันนี้ หนูจะได้

  • เรียนรู้ว่าในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่รู้จักพระเยซู และทำไมคริสเตียนต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู
  • เห็นความจำเป็นว่าการประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของคริสเตียนทุกคน
  • อธิษฐานเผื่อคนชนชาติต่างๆ และตั้งใจจะบอกเรื่องราวข่าวประเสริฐแก่คนอื่น

เกม “ใครจะไปบอก”  (จับคู่ภาพ)

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ภาพของคนเชื้อสายต่างๆ (ภาพคนเชื้อสายต่างๆ 2 ชุดจากภาพตัวอย่าง) แล้วตัดแต่ละภาพออกจะได้คนเชื่อสายต่างๆ ที่เหมือนกันเป็นคู่ๆ

วิธีเล่น

  • กำหนดให้เด็กเล่นจับคู่ภาพเป็นรายคน หรือจะเล่นเป็นกลุ่มก็ได้
  • คว่ำภาพที่ถ่ายเอกสารมาทั้งหมด 12 คู่ (24 ภาพ) ลงบนโต๊ะ
  • ให้เด็กมีโอกาสเปิดภาพทีละ 2 ภาพเพื่อหาคู่ภาพเหมือน
  • หากเปิดภาพ 2 ครั้งแล้วภาพไม่เหมือนกัน จะต้องคว่ำภาพนั้นกลับที่เดิม แล้วให้คนต่อไปมีโอกาสเปิดภาพ
  • แต่หากเปิดภาพ 2 ครั้งแล้วพบภาพเหมือน เด็กจะเก็บภาพคู่นั้นเป็นคะแนนของตัวเองหรือทีม และจะมีโบนัสเปิดภาพเพิ่มได้อีก 2 ภาพเพื่อหาคู่
  • สลับเปิดภาพจนหมด ใครหรือทีมไหนได้ภาพคู่มากที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ
  • ชี้ให้เด็กเห็นว่า ในโลกของเรามีคนหลายเชื้อชาติ ให้เด็กสังเกตว่าแต่ละคนมีหน้าตา สีผิว ลักษณะที่ต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนมีคุณค่าในสายตาของพระเจ้า และพระเจ้ารักพวกเขาเหมือนที่พระเจ้ารักครูและหนู

บทนำเรื่อง

ทำไมจำเป็นต้องมีมิชชันนารี หรือ ทำไมคริสเตียนต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐให้คนอื่นได้ยินได้ฟังข่าวดีเรื่องของพระเยซู??

  • .เพราะเป็นความปรารถนาของพระเจ้าที่ไม่อยากให้ใครสักคนหนึ่งต้องพินาศไป และเป็นคำสั่งของพระองค์ในมัทธิว 28:19-20 ให้คริสเตียนทุกคนออกไปประกาศและนำคนให้มารู้จักและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และสอนพวกเขาให้เชื่อฟังทำตามคำของพระเจ้า เพราะฉะนั้นการประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่คริสเตียนทุกคน รวมทั้งครูและหนูด้วย
  • เพราะความรักของพระเจ้าที่คริสเตียนได้รับและการสำนึกในพระคุณของพระเจ้าทำให้เราเองเห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากมายที่ต้องการความรักและพระคุณของพระเจ้าเช่นเดียวกับเรา คนเหล่านั้นอาจไม่มีโอกาสรู้จักกับพระเยซูเลย หากไม่มีใครไปบอกพวกเขา เช่น คนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญมากๆ หมู่บ้านที่ไม่มีคริสตจักร, ไม่มีคริสเตียน หรือไม่มีพระคัมภีร์เป็นภาษาที่เขาสามารถอ่านหรือฟังแล้วเข้าใจได้ พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ความรอดมีชีวิตนิรันดร์ แต่ต้องมีชีวิตที่จะจบลงด้วยการไม่รู้จักพระเจ้าและต้องพินาศไป

 

“การเดินทางที่ตีมูลค่าไม่ได้”

ภาพที่ 1  ปิดเทอมภาคฤดูร้อนปีแรกของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เฮนรี่ต้องเดินทางไกลจากเมืองแคนซัสบ้านเกิดไปแคลิฟอร์เนีย เขาจะไปรับจ้างทำงานเก็บผลไม้ในสวนต้นพีชเพื่อหารายได้พิเศษเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นครั้งแรกที่เฮนรี่ต้องเดินทางไกลขนาดนั้นเพียงคนเดียว เขาโบกรถข้างถนนและอาศัยนั่งรถฟรีโดยไม่เสียตังค์ บางครั้งก็ไม่มีคนหยุดรับ ต้องไปอาศัยแอบขึ้นตู้รถไฟที่บรรทุกผลไม้ พอมีคนตรวจผ่านมา ก็ต้องรีบกระโดดลงรถไฟ การต้องนั่งรถไปกับคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักเป็นเวลาหลายวัน ด้วยเงินติดตัวเพียงไม่กี่เหรียญ มันช่างน่าตื่นเต้นจนเขาจดบันทึกไว้ว่า “ผมใช้เงินไปเกือบ 5 ดอลล่าร์ ใช้เวลานั่งรถ 4 วัน เดินทางไกลเกือบ 2,000 ไมล์ แต่วันเวลา เงินทอง หรือระยะทางไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับประสบการณ์ที่ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้เลย”

เฮนรี่อาจไม่เคยคาดคิดไว้เลยว่า คำพูดนี้จะสะท้อนชีวิตการเดินทางรับใช้พระเจ้าของเขาในอีกหลายปีต่อมา ซึ่งไม่ว่าวัน เวลา เงินทอง หรือระยะทางนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการที่ชีวิตของเขาได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าได้เปิดเผยแผนการของพระองค์ให้กับเฮนรี่ทีละก้าวๆ

ภาพที่ 2  หลังจากเฮนรี่ได้ตัดสินใจถวายตัวเพื่อจะไปรับใช้พระเจ้าในต่างแดน หรือเป็นมิชชันนารี่ เฮนรี่เรียนจบมหาวิทยาลัย และเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยแพทย์ เมื่อเรียนจบแพทย์ เขาก็เริ่มเตรียมตัวเพื่อการรับใช้พระเจ้าโดยการศึกษาต่อในวิทยาลัยพระคริสตธรรมดัลลัส (Dallas Theological Seminary) ในระหว่างที่ศึกษาพระคัมภีร์ เขาก็ยังทำงานแพทย์เพิ่มพูนทักษะของตัวเองในเมืองใกล้ๆ อีกด้วย

ในปี 1964 หมอเฮนรี่สมัครเป็นมิชชันนารีกับคณะไชน่าอินแลนด์มิชชั่น (หรือคณะมิชชั่น OMF – Overseas Missionary Fellowship ในปัจจุบัน) เมื่ออายุได้ 32 ปี หมอเฮนรี่ได้เดินทางมารับใช้ในเอเชียเป็นครั้งแรก คุณหมอเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม ลาว และประเทศอื่นๆ เป็นเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจึงมารับใช้ที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ จ.ชัยนาทในช่วงสามปีแรก เมื่อมาถึงเมืองไทยหัวใจของหมอได้แต่ร่ำร้องต้องการออกไปบุกเบิกประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องชนเผ่าที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเยซู ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมีชนเผ่าหรือชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่หลายชนเผ่าทีเดียว เช่น กระเหรี่ยง ม้ง ลาหู่ ละว้า ฯลฯ แต่ละชนเผ่ามีวิถีชีวิตวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาเป็นของตนเอง มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ชนเผ่าเหล่านี้มักนับถือผีและเซ่นไหว้วิญญาณ พวกเขามักอาศัยอยู่ตามเทือกเขาห่างไกลความเจริญของเมืองใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาล โรงเรียน และสาธารณูปโภคต่างๆ และเพราะความห่างไกลนี้เองทำให้คนเหล่านี้ไม่เคยได้ยินข่าวดีเรื่องของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่ลงมาบนโลกนี้เพื่อช่วยพวกเขาให้สามารถหลุดพ้นจากอำนาจของผีวิญญาณได้ ในเวลานั้นชนเผ่าเมี่ยน (เย้า) ประมาณ 1.5 ล้านคนอาศัยกระจัดกระจายอยู่ในประเทศจีน เวียดนาม ลาวและชายแดนไทย ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู และหากไม่มีใครเข้าไปประกาศถึงเรื่องของพระองค์ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะเชื่อพระเยซูและได้รับชีวิตนิรันดร์ได้เลย

ปีค.ศ. 1968 ในที่สุดวันที่หมอเฮนรี่รอคอยก็มาถึงคือ วันที่เขาได้เดินทางข้ามฝั่งโขงไปรับใช้ที่บ้านห้วยทราย ข้ามชายแดนประเทศไทยเข้าไปในพรมแดนฝั่งประเทศลาว  ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอมมิวนิสต์กำลังรุกรานจากจีนแผ่นดินใหญ่ลงมาทางตอนใต้ คือประเทศลาวและเวียดนาม ห้วยทรายเป็นเมืองที่มีหมู่บ้านชาวเมี่ยนกระจัดกระจายอยู่ และเป็นเมืองที่อิทธิพลกองกำลังของคอมมิวนิสต์ยังเข้าไม่ถึง มีเจ้าหล้าเป็นหัวหน้านายทหารหัวหน้าชาวเมี่ยนที่ดูแลพื้นที่บริเวณนั้น ไม่ว่าใครจะเข้าหรือออกนอกหมู่บ้าน เขาจะรู้ความเคลื่อนไหวของคนในหมู่บ้านตลอดเวลา

บ้านพักของหมอเฮนรี่ในห้วยทรายเป็นบ้านไม้อยู่ใกล้ริมน้ำโขง ตามชายแดนบนภูเขายังมีหมู่บ้านชาวเมี่ยนอีกนับร้อยที่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ยังไปไม่ถึง หมอเฮนรี่เริ่มเรียนภาษาเมี่ยนและออกเดินทางด้วยเท้าครั้งละหลายวัน ขึ้นไปตามหมู่บ้านห่างไกลที่ซ่อนอยู่ตามภูเขาและลำน้ำ ตามขุนเขาที่ห่างไกลจากความเจริญ ชาวบ้านจะเห็นหมอสอนศาสนาผิวขาว ตัวสูง ผมหยักศก เดินสะพายกระเป๋าเป้สัมภาระ ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นฝรั่งมาก่อน

ภาพที่ 3  เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านไหน หมอเฮนรี่

จะไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเป็นอันดับแรก พูดคุยทักทายและบอกให้รู้ถึงความตั้งใจที่จะมาบอกข่าวดีเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้คนในหมู่บ้านฟัง และขอที่หลับที่นอนเพื่อจะได้อยู่ในหมู่บ้านสักพักหนึ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะยินดีต้อนรับแขกแปลกหน้าผู้มาเยือน หมอเฮนรี่จะพกยารักษาโรคติดตัวไปด้วยเสมอ เผื่อไว้สำหรับชาวบ้านที่เจ็บป่วย และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องเล่นเทปบันทึกเสียงพระกิตติคุณ ในสมัยนั้นไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ทหรือโทรศัพท์มือถือ แม้แต่โทรทัศน์วิทยุก็ถือเป็นของแปลกใหม่มาก เมื่อชาวบ้านเห็นเครื่องเล่นเทปที่มีเสียงคนพูดภาษาของตัวเองออกมาดังไปทั่วป่า ก็นำความประหลาดใจและดึงดูดความสนใจของชาวบ้านอย่างยิ่งยวด เสียงที่ออกมาจากเครื่องเล่นเทปกล่าวว่า “พระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าสวรรค์ พระองค์เป็นผู้สร้างสารพัดสิ่งที่อยู่ในโลก ได้ส่งพระเยซูลงมาตายบนไม้กางเขนพระเยซูลงมาในโลกเพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปกรรม”

ภาพที่ 4  อิสยาห์ 43:2-3 กล่าวว่า “เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า และเมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล ผู้ช่วยให้รอดของเจ้า”  พระเจ้าปกป้องคุ้มครองหมอเฮนรี่ไม่ว่าเขาจะขึ้นเขาลงห้วยตัวคนเดียว ไปถึงหมู่บ้านไหนชาวบ้านก็มักจะยินดีต้อนรับขับสู้ ให้ที่หลับที่นอนบริเวณเพิงด้านหน้าของบ้าน ซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับรับแขกเสมอ มีครั้งหนึ่งหมอได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งนอนจับไข้ไม่รู้สึกตัวมา 5 วัน ญาติพี่น้องของเธอกำลังขุดหลุมอยู่นอกบ้าน หมอเฮนรี่จึงเอ่ยถามว่า “กำลังขุดหลุมเพื่ออะไร?” พวกเขาเตรียมขุดหลุมสำหรับฝังหญิงสาวที่นอนป่วยอยู่ ทั้งๆ ที่เธอยังไม่ตาย หมอทนเห็นด้วยความสงสารไม่ได้จึงอาสาแบกหญิงนั้นขึ้นหลังข้ามน้ำข้ามเขาลงมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเล็กๆ จนเธอรอดชีวิต ไม่ต้องลงไปอยู่ในหลุมที่ญาติพี่น้องขุดเตรียมไว้

เวลาหนึ่งปีที่หมอเฮนรี่สะพายแบกกระเป๋าเป้เข้าออกหมู่บ้านห้วยทราย และเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้านน้อยใหญ่บนภูเขาเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ ด้วยความเป็นหมอ การได้ช่วยคนเจ็บป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่สำหรับหมอเฮนรี่แล้ว การได้ช่วยชีวิตจิตวิญญาณของคนให้รอดพ้นจากความตาย ได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญและน่ายินดียิ่งกว่า จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีคนกลับใจติดตามพระเจ้ามากขึ้น นำความไม่พอใจมาให้เจ้าหล้าหัวหน้าทหารในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก บางคนถึงขั้นคิดที่จะฆ่าเอาชีวิตหมอเฮนรี่ พวกเขาไม่ชอบที่พวกชาวบ้านตัดสินใจติดตามพระเจ้าพากันทิ้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยนับถือบูชา และถ้าคริสเตียนต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ก็จะขาดคนยามที่จะคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านจากพวกคอมมิวนิสต์

เจ้าหล้ายื่นคำขาด “ถ้าหมอคิดจะอยู่ที่นี่ต่อไป จะสอนภาษาอังกฤษให้คนในหมู่บ้านก็ได้ รักษาคนเจ็บป่วยก็ได้ หมอทำอะไรกับชาวบ้านก็ได้ แต่ห้ามพูดเรื่องของพระเยซู เรื่องพระเรื่องเจ้าอีกต่อไป” หมอเฮนรี่ตระหนักว่า การที่ได้อยู่ในหมู่บ้านแต่ถ้าไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนอื่นๆ ได้ จะมีประโยชน์อะไรเล่า ถึงแม้หมอรักที่จะได้อยู่ในหมู่บ้านนั้นแต่หากไม่ได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้เขาทำ การอยู่ที่นั่นก็คงเสียเวลาเปล่า ดังนั้นหมอเฮนรี่จึงตัดสินใจย้ายออกจากหมู่บ้าน ชีวิตของหมอจะเดินทางไปอยู่ที่แห่งหนไหนก็ได้ แต่หมอจะไม่หยุดประกาศเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูคริสต์เป็นอันขาด

(ข้อมูลที่ค้นพบในประเทศไทย - ในช่วงปี 1968-74 มีคริสเตียนชาวเมี่ยนและม้งกระจัดกระจายอยู่ใน 5 หมู่บ้าน และหลังจากนั้นด้วยความทุ่มเทของมิชชันนารีและพี่น้องชนเผ่าคริสเตียน ข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้แพร่ขยายออกไปใน 11 จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย และมีพี่น้องชนเผ่ามาเป็นคริสเตียเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2001 มีคริสเตียนอาศัยอยู่ใน 120 หมู่บ้านทางภาคเหนือของประเทศไทย)

 

บทเรียนนี้เกี่ยวข้องกับหนูอย่างไร?

ภาพที่ 5  หากหนูเป็นคริสเตียน เป็นผู้ติดตามพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้หนูถวายตัวของหนูเองที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และสิ่งหนึ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าคือ พระองค์ไม่ต้องการให้คนเล็กน้อยสักคนหนึ่งต้องตายไปโดยไม่รู้จักกับพระองค์ ดังนั้นหน้าที่อย่างหนึ่งของครูและหนูคือ เราต้องบอกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์แก่คนมากมายที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์

พระเจ้าสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหนู เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของหนู พระองค์จะปกป้องพิทักษ์รักษาคนของพระองค์ ไม่ว่าหนูจะไปที่ไหน พระเจ้าจะสถิตอยู่กับหนู

หากหนูยังไม่เคยต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด หนูรู้ไหมว่าพระเจ้ารักหนูมากแค่ไหน? พระองค์รักหนูมากจนลงมาในโลกนี้เพื่อตายแทนหนู และพระองค์ยังสั่งคนของพระเจ้าอีกมากมายให้ยอมเสียสละชีวิตของตัวเขาเอง เช่น มิชชันนารี อาจารย์ หรือแม้แต่ตัวครูเองให้มาบอกเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูให้หนูได้ฟัง เพราะพระเยซูต้องการเป็นพระผู้ช่วยให้หนูหลุดพ้นจากกรรมบาป จากการทนทุกข์ชั่วนิรันดร์ พระองค์อยากให้หนูได้เป็นครอบครัวของพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์

รูปภาพประกอบ

ข้อกำหนดในการใช้บทเรียนรูปภาพ  เราต้องการให้บทเรียนและรูปภาพประกอบเป็นพระพรสำหรับทุกท่าน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากท่านที่จะไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือใช้ในทางที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์ของเรา

คำถามอภิปราย

  1. หลังจากเฮนรี่ตัดสินใจถวายตัวไปรับใช้พระเจ้าในต่างแดน เฮนรี่เตรียมตัวด้วยการไปเรียนอะไร?
  2. เฮนรี่มีความปรารถนาที่จะไปรับใช้พระเจ้าอย่างไรในต่างแดน?
  3. ที่บ้านห้วยทรายในประเทศลาว เฮนรี่ทำการประกาศข่าวเรื่องของพระเยซูอย่างไร?
  4. ข่าวประเสริฐที่เฮนรี่ประกาศกับชาวบ้านมีเนื้อหาว่าอย่างไร?
  5. หนูคิดว่าพระเจ้าปกป้องคุ้มครองดูแลเฮนรี่ในงานรับใช้ของเขาอย่างไรบ้าง?
  6. เมื่อหนูโตขึ้น หนูอยากไปเป็นมิชชันนารีเหมือนเฮนรี่หรือไม่? ทำไมถึงอยากหรือไม่อยาก?
  7. หนูได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับพระเจ้าในบทเรียนนี้?

กิจกรรม

“อธิษฐานเผื่อชนชาติต่างๆ”

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ตะเกียบหนึ่งคู่สำหรับแต่ละทีม
  • ลูกอมเยลลี่ประมาณ 30-40 ชิ้นเล็ก
  • ถ้วย 3 ใบ
  • รูปภาพของเด็กชาติต่างๆ (จากเกมก่อนหน้านี้)

วิธีทำ

  • แบ่งเด็กออกเป็น 2 ทีม แต่ละทีมให้มีถ้วย 1 ใบและตะเกียบ 1 คู่ และให้เด็กแต่ละทีมนั่งเรียงเป็นแถวหันหน้าเข้าหาอีกทีมหนึ่ง เว้นช่องว่างระหว่างทีมประมาณ 3 เมตร
  • ตรงกลางระหว่างแถวให้วางถ้วยอีกใบที่เหลือใส่ลูกอมเยลลี่ให้เต็มถ้วยนั้น
  • ครูแสดงภาพของเด็กชาติต่างๆ พร้อมชี้ให้เห็นว่าผู้คนในประเทศเหล่านี้จำนวนมากยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเยซู จำเป็นที่จะต้องมีคนออกไปบอกเขา และจำเป็นที่พวกเราจะต้องอธิษฐานเผื่อมิชชันนารีที่จะออกไปและเผื่อคนเหล่านี้ที่จะต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
  • ให้ตัวแทนเด็กของแต่ละทีมออกมาใช้ตะเกียบคีบลูกอมเยลลี่หนึ่งชิ้นกลับไปเพื่อจะใส่ลงในถ้วยของทีมตน แต่ก่อนที่จะใส่ลูกอมในถ้วย เด็กคนนั้นต้องตะโกนว่า “ขอพระเจ้าช่วยส่งมิชชันนารีไป ________” (ใส่ชื่อประเทศหรือชื่อกลุ่มชนเผ่า) หรือ “ขอพระเจ้าช่วยให้คน ______________ (ใส่ชื่อประเทศหรือชื่อกลุ่มชนเผ่า) ให้มารู้จักพระเยซูด้วย” เมื่อเด็กพูดจบ ให้เด็กทุกคนในทีมพูดว่า “อาเมน” พร้อมกัน หลังจากนั้นเด็กจึงสามารถใส่ลูกอมลงในถ้วยของทีมได้
  • ส่งตะเกียบให้กับเด็กคนต่อไปในทีม ถ้าเด็กคนไหนนึกชื่อประเทศ หรือชื่อกลุ่มคนไม่ได้ ต้องคืนลูกอมในถ้วยส่วนกลางแล้วกลับไปนั่งที่ และส่งตะเกียบให้กับเพื่อนคนถัดไป ทีมไหนมีลูกอมเยลลี่มากกว่าเป็นฝ่ายชนะ
  • หลังจากเสร็จ เด็กๆ สามารถแบ่งปันลูกอมเยลลี่กันในห้องเรียน
  • ช่วยหนุนใจเด็กให้นึกถึงคนเชื้อชาติต่างๆ และส่งคำอธิษฐานเหล่านี้ไปหาพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น จะทำให้กิจกรรมนี้น่าตื่นเต้นและมีพลัง

กิจกรรม

“พระเจ้ารักไร้พรมแดน”

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ตัวตุ๊กตาสำหรับเด็กแต่ละคน (อาจจะได้ 2 ตัวหากเวลาเอื้ออำนวย)
  • สีเมจิก ปากกา กรรไกร

 

วิธีทำ

  1. แจกตัวตุ๊กตาให้เด็กแต่ละคนๆ ละ 1 หรือ 2 ตัวขึ้นอยู่กับเวลาที่มีในชั้นเรียน
  2. ให้เด็กคิดและกำหนดว่าตุ๊กตาของเขาจะเป็นเด็กชายหรือหญิง และจะเป็นคนชนชาติไหนหรือชนเผ่าอะไร
  3. วาดหน้าตา ผม และชุดประจำชาติหรือประจำเผ่านั้นๆ แล้วระบายสีให้สวยงาม (อาจเตรียมตัวอย่างรูปภาพของคนชาติต่างๆ ให้เด็กได้รู้จักเพิ่มเติมจากภาพคนเชื้อสายต่างๆ ในหน้า 22 และ 23)
  4. เมื่อระบายสีเสร็จเรียบร้อย ให้เด็กตัดตัวตุ๊กตาของเขาออกเป็นตัวๆ ครูใช้กาวหรือเทปติดมือของตุ๊กตาแต่ละตัวจากเด็กทุกคนในห้องจนได้เป็นสายยาว
  5. หลังจากนั้นนำไปติดบนแผนที่โลกจากกิจกรรมในบทที่ 1 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้เด็กๆ ว่าพระเจ้าไม่เพียงรักครูและหนูเท่านั้น แต่พระเจ้ายังรักคนในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และพระองค์ไม่ต้องการให้คนเหล่านี้สักคนพินาศไปเพราะเขาไม่เคยมีโอกาสต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา

กิจกรรม

ทำที่บ้าน