ข้อท่องจำ
“ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต”-1 ยอห์น 5:12
เมื่อกลับบ้านวันนี้ หนูจะได้
- เข้าใจว่าความรอดได้รับโดยพระคุณพระเจ้า เพราะความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำหรือความดีที่เราทำ
- ซาบซื้งในพระคุณของพระเจ้า และปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้รับพระคุณของพระเจ้าเช่นกัน
- ตั้งใจที่จะออกไปบอกเล่าเรื่องข่าวดีของพระเยซูให้เพื่อนๆ
เกม “กระเป๋าเดินทาง”
สิ่งที่ต้องเตรียม
- กระเป๋าเดินทาง
- ของสำหรับใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง ดังนี้ คือ พระคัมภีร์, กระปุกยา, แบงค์ 20 บาท, ถุงมือ 1 คู่, โทรศัพท์ (และสิ่งอื่นที่ครูสามารถคิดเพิ่มเติมได้)
วิธีเล่น
- ให้เด็กนั่งเป็นวงกลม
- ครูส่งกระเป๋าที่มีของทั้งหมดรูดซิปปิดให้เรียบร้อยให้กับเด็กในวงกลมนั้นระหว่างเปิดเพลง
- เมื่อเพลงหยุดให้เด็กที่มีกระเป๋าอยู่บนตัก เปิดซิปออกแล้วหยิบของออกมาจากกระเป๋าหนึ่งชิ้นโดยที่ไม่มอง
- เด็กคนนั้นจะต้องชูของขึ้นให้ทุกคนเห็น แล้วบอกว่าของสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตมิชชันนารีที่รับใช้ในต่างแดนอย่างไร? เช่น พระคัมภีร์ (ใช้ในการประกาศ) กระปุกยา (ใช้เวลาเจ็บป่วย หรือใช้ช่วยชาวบ้าน) แบงค์ (พระเจ้าเป็นผู้ดูแลและเลี้ยงดู) ถุงมือ (ต้องการคำอธิษฐานเผื่อในการรับใช้) โทรศัพท์ (ใช้พูดคุยกับครอบครัวที่อยู่ไกล)
- หลังจากนั้นเริ่มเปิดเพลง แล้วส่งกระเป๋าให้คนถัดไปจนกว่าเพลงจะหยุด
- เล่นซ้ำจนกว่าของในกระเป๋าจะหมด
บทนำเรื่อง
มิชชันนารี คือ คนที่ถูกคริสตจักรส่งออกไปยังต่างแดน ต่างประเทศ หรือ ต่างวัฒนธรรม เพื่อไปประกาศข่าวดีเรื่องความรอดและชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้กับคนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องของพระเยซู
แล้วใครหล่ะที่จะเป็นมิชชันนารีได้? คำตอบคือ ...
- คนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา
- คนที่สัตย์ซื่อ ยอมถวายอุทิศชีวิตในการรับใช้พระเจ้าในต่างแดน
มิชชันนารีทำอะไรบ้าง?
หน้าที่หลักของมิชชันนารีคือเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการนำข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ไปยังกลุ่มคนที่ยังไม่รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเยซูเลย ซึ่งหนูจะเห็นว่า มิชชันนารีไม่จำเป็นต้องเป็นนักเทศน์หรือนักประกาศเพียงอย่างเดียว มิชชันนารีบางคนเป็นหมอแล้วใช้ความรู้ของเขาช่วยผู้คนพร้อมกับประกาศเรื่องของพระเยซูไปพร้อมกัน บางคนเป็นนักการศึกษา เป็นครูเปิดโรงเรียนที่สามารถสอนเรื่องราวของพระเยซูไปพร้อมกับหลักสูตรโรงเรียน บางคนเป็นนักสำรวจ วิศวกร บางคนเป็นนักภาษาศาสตร์แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาท้องถิ่น บางคนเป็นช่างเทคนิคบันทึกเสียงข่าวประเสริฐเป็นภาษาต่างๆ ที่ยังไม่มีพระคัมภีร์เป็นภาษาของเขา บางคนเป็นผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้า ดูแลเด็กร่อนเรพเนจร ฯลฯ แต่พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการนำความรักของพระเจ้าและข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์มาถึงกลุ่มคนที่พวกเขารับใช้
“ผมต้องการพระเยซู”
เฮนรี่นั่งนิ่งอยู่ในความมืด ห้องนอนของเขาเป็นห้องใต้ดินที่สมัยก่อนครอบครัวเคยใช้ทำเป็นที่เลี้ยงไก่มาก่อน แต่มาบัดนี้พ่อได้บูรณะปรับปรุงมันใหม่ให้กลายเป็นห้องนอนของเฮนรี่ หลายต่อหลายคืนเฮนรี่นอนไม่หลับ คอยแต่หวาดระแวงคิดในใจว่า “จะมีผู้ร้ายหรือขโมยบุกเข้ามาในห้องนอนของเขาไหม? ถ้าพวกมันเข้ามาเขาจะทำยังไงดี? หรือถ้าเขาส่งเสียงร้องให้ช่วย จะมีใครได้ยินเสียงของเขาจากห้องใต้ดินไหม?” เขากลัว!
ภาพที่ 1 ปกติเฮนรี่ไม่ใช่เป็นเด็กขี้กลัว เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวไบรเดนทอล มีพี่สาว 2 คนและพี่ชายอีก 3 คน แม่ของเฮนรี่พบรักกับพ่อของเขาสมัยตอนที่พ่อเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยในเมืองไอโอวา เฮนรี่เกิดที่เมืองแคนซัส สหรัฐอเมริกา ในปี 1932 ซึ่งเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (ราวๆ ปี1929-34) ถึงแม้พ่อจะพาครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต แต่พวกเขาก็ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น อาหารที่พวกเขากินเป็นประจำมักจะมีแต่ขนมปัง นานๆ ครั้งถึงจะมีเนื้อให้เห็นบนโต๊ะอาหาร
เฮนรี่เล่นซุกซนยิงนกตกปลาเหมือนเด็กผู้ชายทั่วๆ ไป เขามีพี่ที่เป็นนักวิ่งมาราธอนที่เคยวิ่งได้ไกลถึง 50 ไมล์ (80 กม.) อาหารโปรดของเฮนรี่คือไอศกรีม เพราะไม่ว่าครั้งไหนๆ ที่ลุงของเฮนรี่แวะมาเยี่ยมครอบครัวของเขา ลุงก็จะไม่ลืมเอาไอศกรีมติดมือมาฝาก เด็กๆ ได้นั่งล้อมวงกินไอศกรีมกันอย่างมีความสุข พอเฮนรี่ขึ้นชั้นประถมปลาย เขายังรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านก่อนไปโรงเรียนอีกด้วย แต่อะไรหนอ? ที่ทำให้เฮนรี่ต้องรู้สึกหวาดกลัวในบ้านของตัวเอง?
ภาพที่ 2 เหตุการณ์ที่เฮนรี่ไม่มีวันลืมเกิดขึ้นตอนเขาอายุ 13 ปี เวลานั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเขาถูกเกณฑ์ให้ทำงานกะกลางคืนที่สถานีผลิตเครื่องบินทิ้งระเบิด ในคืนวันหนึ่งตอนที่พ่อไม่อยู่บ้าน มีชายแปลกหน้าบุกเข้ามาในบ้าน และทำร้ายแม่ของเฮนรี่ในห้องนอน แม่ร้องเสียงดัง “ช่วยด้วย.. ช่วยด้วย..” ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ชายเพื่อนบ้านซึ่งมีอาชีพเป็นยามรักษาความปลอดภัยอยู่แล้วจึงรีบวิ่งถือปืนเข้ามาในบ้าน ผู้ร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามรัดคอแม่ไว้เป็นตัวประกัน แต่ก็สู้ไหวพริบของยามไม่ทัน เขาจึงถูกยิงเข้าที่ลำตัวบาดเจ็บและถูกจับกุมในที่สุด
แม่ของเฮนรี่รอดพ้นจากเงื้อมือของวายร้ายมาได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยากที่จะลืมเลือน เฮนรี่ระแวงหวาด กลัว มันทำให้เขาเริ่มคิดถึงชีวิตของตัวเองและชีวิตหลังความตาย เขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และหากเขาต้องตาย อะไรจะเกิดขึ้นกับเขา เฮนรี่เติบโตในครอบครัวคริสเตียน แต่เขาไม่เคยเข้าใจอย่างแท้จริงถึงเรื่องของความรอด เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาได้รับความรอดและได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว? เขาได้รับความรอดเพราะเขาเกิดมาในครอบครัวที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนใช่ไหม? หรือความรอดเกิดขึ้นเพราะเขาเป็นเด็กดีมาโดยตลอด เขาไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องกังวลทุกข์ใจ เขาเรียนหนังสือเก่ง เขาเป็นคนดีไม่เคยทำร้ายใคร ใช่หรือไม่?
ภาพที่ 3 ช่วงเวลาที่เฮนรี่ใกล้จะเรียนจบมัธยมปลาย เขาไปเข้าร่วมประชุมพิเศษสำหรับกลุ่มอนุชนทุกสัปดาห์ ในการประชุมมีการท้าทายคริสเตียนหนุ่มสาวให้ออกไปรับใช้พระเจ้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ในเวลานั้นเองเฮนรี่ถวายตัวและมีความคิดที่จะออกไปเป็นมิชชันนารี เพราะต้องการที่จะทำชีวิตของเขาให้มีคุณประโยชน์ต่อคนอื่นๆ แต่เขามีปัญหาความขัดแย้งอยู่ในใจ เพราะทุกครั้งเมื่อนักเทศน์หรืออาจารย์เทศนาและเชิญชวนว่า “หากใครที่สนใจต้องการที่จะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขอให้เดินออกมาด้านหน้าห้องประชุม เพื่อจะมีคนที่จะช่วยให้คำแนะนำและอธิษฐานเผื่อท่าน” เฮนรี่มักจะเป็นคนแรกๆ ที่เดินออกไปทุกครั้ง ปัญหาของเฮนรี่คือเขาเองไม่แน่ใจว่า เขาเป็นลูกของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง เขาไม่มั่นใจว่าเขาได้รับความรอดพ้นจากบาป เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาต้องสิ้นลมหายใจในวันนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเขา นี่เป็นเหตุให้เขาเดินออกไปหน้าห้องประชุมทุกครั้งเมื่อมีการเชิญชวนให้มีการตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้อำนวยการเขตจากองค์การเยาวชนเพื่อพระคริสต์ (YFC) ที่เฮนรี่ไปร่วมประชุมทุกสัปดาห์ได้ให้คำปรึกษากับเฮนรี่ เขาพูดว่า “ผมจะไม่บอกว่าคุณเป็นคริสเตียนแล้วหรือเปล่า หรือคุณได้รับความรอดแล้วหรือยัง แต่ให้คุณกลับไปอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วตัดสินใจดูว่าคุณเป็นของพระเจ้าแล้วหรือยัง?” เฮนรี่รีบกลับบ้านแล้วเปิดพระคัมภีร์ที่อาจารย์บอกใน 1 ยอห์น 5:11-12 “พยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต”
“ขอบคุณพระเจ้า ผมเข้าใจแล้ว นี่เป็นพระคุณของพระเจ้าจริงๆ “ เฮนรี่คิด ในวันนั้นพระเจ้าเปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณให้เขาเห็นและพระคำของพระเจ้าเป็นพยานหลักฐานทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขาไม่เคยมั่นใจมาเป็นเวลานาน
เขาได้เข้าใจว่า
ภาพที่ 4 พระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ได้ยอมเสียสละชีวิตของพระองค์ มาตายบนไม้กางเขนและเลือดของพระองค์ที่หลั่งออกมาได้ชำระบาปผิดของเขา ถึงแม้เขาเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองให้ดีพอสำหรับจะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ แต่เพราะพระคุณของพระเจ้าโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เขาจึงบังเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเจ้า พระคำของพระเจ้าทำให้เขารู้แน่แก่ใจแล้วว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า
เมื่อเฮนรี่เข้าใจและซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าที่ช่วยเขาให้รอดและเป็นครอบครัวของพระเจ้า ความคิดที่เคยอยากถวายตัวออกไปรับใช้พระเจ้า ออกไปเป็นมิชชันนารี มาบัดนี้ได้รับการประทับตราและการยืนยันจากพระเจ้า เขารู้ว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ยินเรื่องของพระเยซูคริสต์เช่นที่เขาได้รับโอกาสและพบกับความสุขที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความหวัง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูได้มายอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว ความจริงนี้ทำให้เฮนรี่ตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซู ซึ่งเป็นข่าวดีแก่คนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง นี่เป็นคำสั่งของพระเจ้าและเขาตัดสินใจที่จะทำตามคำสั่งของพระองค์
พระคัมภีร์นี้เกี่ยวข้องกับหนูอย่างไร?
ภาพที่ 5 การเป็นลูกของพระเจ้า หรือการได้รับความรอดนั้น ไม่ใช่โดยการที่หนูคิดว่าเพราะพ่อแม่หรือครอบครัวหนูเป็นคริสเตียน ดังนั้นหนูก็ได้รับความรอดแล้ว หรือ เพราะหนูเป็นเด็กดี หนูทำแต่สิ่งที่ดีๆ หรือ หนูเป็นคริสเตียนเพราะหนูไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ แต่ความรอดนั้นเกิดขึ้นโดยพระคุณของพระเจ้า เพราะว่าหนูเป็นคนผิดบาป (ความบาปคือสิ่งที่พูด ทำ หรือคิดแล้วทำให้พระเจ้าเสียใจ) และรู้ว่าหนูช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากบาปกรรมไม่ได้ แต่พระเจ้ารักและเมตตาลงมาช่วยมนุษย์ทั้งๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับความเมตตานี้ หนูสามารถเป็นลูกของพระเจ้าได้เมื่อหนูตัดสินใจเชื่อว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่ความผิดบาปของมนุษย์ทุกคน ซึ่งรวมทั้งตัวครูและหนูด้วย ไม่ใช่เพราะความดีหรือการกระทำของหนูแต่เพราะความเชื่อของหนูต่างหาก พระองค์ตายและถูกฝังไว้ ในวันที่สามพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ถ้าหนูเชื่อและให้พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาปกรรมและเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวของหนู พระคำของพระเจ้าสัญญาว่าหนูก็จะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระองค์
สำหรับเด็กที่เชื่อในพระเยซูแล้ว – หนูได้รู้จักพระเจ้า และรู้ว่าพระเยซูได้ยอมเสียสละพระองค์เองเพื่อหนูอย่างไรเพื่อหนูจะได้รับความรอด ไม่ใช่เพราะความดีของหนูแต่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า แต่ยังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของพระเยซู พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา ไม่รู้ว่าพระเยซูได้มาในโลกนี้ และมาตายเพื่อเขา พระเจ้าต้องการให้หนูนำข่าวดีนี้ไปบอกคนเหล่านั้น เพราะถ้าพวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ พวกเขาจะต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาได้อย่างไร? และพวกเขาจะได้รับความรอดและเป็นลูกของพระเจ้าได้อย่างไร?
รูปภาพประกอบ
ข้อกำหนดในการใช้บทเรียนรูปภาพ เราต้องการให้บทเรียนและรูปภาพประกอบเป็นพระพรสำหรับทุกท่าน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากท่านที่จะไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือใช้ในทางที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์ของเรา
คำถามอภิปราย
- เหตุการณ์อะไรที่ทำให้เฮนรี่เริ่มกลัวและคิดถึงชีวิตหลังความตาย?
- หนูคิดว่าทำไมเฮนรี่ถึงยกมือขึ้นหรือออกไปหน้าห้องประชุมทุกครั้งที่มีอาจารย์เชิญชวนให้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด?
- 1 ยอห์น 5:12 “คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต” หมายความว่าอย่างไร?
- หนูคิดว่าเฮนรี่ได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า เพราะเขาเกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ หรือ เพราะเขาเป็นเด็กดี เรียนหนังสือเก่ง หรือ เพราะว่าอะไร?
- เมื่อเฮนรี่รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาอยากถวายตัวเองเพื่อจะทำอะไร?
- “ความรอดเกิดขึ้นโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ” มีความหมายอย่างไรสำหรับหนู?
- หากหนูรู้จักใครบางคนที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีเรื่องของพระเยซู ที่พระองค์สามารถให้ขีวิตนิรันดร์ และความหวังใหม่ได้ หนูคิดว่าอยากจะทำอะไรกับคนเหล่านี้?
กิจกรรม
“มิชชั่นพอสสิเบิ้ล” (Missions Possible)
สิ่งที่ต้องเตรียม
- ใบงานถ่ายเอกสารให้เด็กแต่ละคน
- ใบงานบนกระดาษโปสเตอร์ เพื่อใช้สำหรับสรุปผลการอภิปราย
- ปากกา
วิธีทำ
- แจกใบงานให้เด็กแต่ละคน ให้เด็กจับคู่เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กๆ ทุกคนจะมีโอกาสเสนอความคิดเห็นและไอเดียของตน
- ในชั้นเรียนเด็กได้เรียนและเข้าใจแล้ว พระเจ้าปรารถนาให้ผู้ที่ได้รับพระคุณความรักของพระเจ้า และได้รับชีวิตใหม่แล้วนั้น ส่งต่อความรักของพระองค์ไปให้ผู้อื่นเช่นเดียวกัน ดังนั้นให้เด็กแต่ละคู่ลองคิดหาไอเดียต่างๆ แล้วเขียนลงในช่องว่าง
- ให้เวลาเด็กพอสมควรในการทำใบงาน และให้เผื่อเวลาประมาณ 10 นาที เพื่อให้ครูช่วยเด็กๆ เสนอไอเดียของกลุ่มขึ้นมา และครูเขียนสิ่งเหล่านั้นบนกระดาษโปสเตอร์หน้าชั้นเรียนเพื่อให้ทุกคนได้เห็นความคิดของเพื่อนกลุ่มอื่นด้วย
- ครูช่วยเด็กสรุปว่า ไอเดียที่นำเสนอมาอันไหนดีเด็กๆ ควรตั้งให้เป็นโครงการที่ทั้งชั้นเรียนจะช่วยกันทำให้เป็น “มิชชั่นพอสสิเบิ้ล” ซึ่งอาจมีเวลาช่วยกันทำภายใน 1 เดือนในช่วงที่เรียนบทเรียนมิชชั่นนี้
- โครงการตัวอย่างที่เด็กสามารถทำได้ เช่น โครงการช่วยนำอาหาร ผลไม้ไปเยี่ยมสมาชิกบางท่านในคริสตจักร, โครงการระดมทุนเพื่อส่งเงินไปสนับสนุนผู้รับใช้ในต่างพื้นที่, โครงการเขียนการ์ดหนุนใจให้กับเด็กและลูกๆ ของผู้ถูกคุมขัง ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ตาม น่าจะเป็นโครงการที่มีเป้าหมายนำความรักของพระเจ้าสู่ผู้อื่น และให้เป็นโครงการที่เป็นความคิดเห็นจากเด็ก จับต้องและวัดประเมินผลได้ชัดเจน
- สามารถนำโครงการนี้เข้ากรรมการคริสตจักร แบ่งปันให้สมาชิกคริสตจักรได้รับรู้ว่าเด็กๆ กำลังมุ่งมั่นทำอะไร และเมื่อจบโครงการหรือครบหนึ่งเดือนเมื่อเรียนจบบทเรียนมิชชั่นนี้ ครูอาจนำเด็กๆ ไปนำเสนอผลงานแบ่งปันสิ่งที่เด็กๆ ได้ทำสำเร็จในที่ประชุมของคริสตจักร เพื่อได้ร่วมสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน และยังได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเด็กๆ ต่อไป
กิจกรรม
“ส่องโลก”
สิ่งที่ต้องเตรียม
- แผนที่โลก ที่สามารถใช้ปากกาเมจิกเขียนลงไปได้ (อาจใช้แผนที่ในลิ้งค์ภาพ ขยายเป็นขนาด A3 ก็ได้)
- ปากกาเมจิก
วิธีทำ
- ติดแผนที่โลกบนกระดาน แนะนำเด็กๆ ให้ลองดูแผนที่โลก แล้วถามเด็กว่าเขารู้จักประเทศอะไรในโลกนี้บ้าง เมื่อเด็กเอ่ยชื่อประเทศให้ครูเขียนชื่อประเทศนั้นลงบนแผนที่โลก ให้เด็กเอ่ยชื่อประเทศสัก 3-4 ประเทศ (เขียนให้ชัดเจนสวยงาม เพราะเราต้องการเก็บแผนที่โลกนี้ไว้บนกระดานหรือกำแพงห้องเรียนตลอดการเรียนบทเรียนมิชชั่น 4 สัปดาห์)
- ครูอาจต้องมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงเรื่องของภูมิประเทศ อาจจะใช้หนังสือแผนที่โลกที่มีชื่อประเทศ หรือค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เนท หรืออาจให้เด็กๆ มีโอกาสค้นหาด้วยก็ได้
- หลังจากนั้น ให้ครูแนะนำจำนวนคริสเตียนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักว่ามีคริสเตียนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ ให้ครูเขียนตัวเลขกำกับบทแผนที่โลก
- สหรัฐอเมริกามีคริสเตียน 65% (ประชากร 100 คนมีคริสเตียน 65 คน)
- อังกฤษมีคริสเตียน 53.6%
- ออสเตรเลีย 52.1%
- แอฟริกาใต้ 80%
- เกาหลีใต้ 29 %
- ลองมาดูประเทศในแถบใกล้ๆ ประเทศไทยกันดูบ้าง ครูเขียนชื่อประเทศและจำนวนคริสเตียนลงบนแผนที่
- เวียตนามมีคริสเตียน 9.4%
- อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีมุสลิมมากที่สุดในโลก มีคริสเตียน 15.85%
- มาเลเซีย 9.4%
- เมียนมาร์ 8.9%
- ลาว 3.3%
- กัมพูชา 3.1%
- สุดท้าย ประเทศไทย 1.1%
- เพื่อให้เด็กเห็นความจำเป็นเร่งด่วน เกิดภาระใจและมีความปรารถนาที่จะประกาศข่าวเรื่องของพระเยซูแก่พี่น้อง เพื่อนบ้านและคนรอบข้าง เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากมายที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านของเรา
- ติดแผนที่โลกนี้ไว้ในชั้นเรียนเพื่อเป็นสิ่งที่เตือนความจำของเด็กๆ ว่ายังมีคนจำนวนมากที่ไม่เคยได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐและพวกเขาต้องการพระเยซู