บทเรียน : การถวายอิสอัค

เมื่อกลับบ้านวันนี้ หนูจะได้

  • เรียนรู้ว่าหนูจะถวายสิ่งใดให้แก่พระเจ้าได้
  • รู้ว่าพระพรของการเชื่อฟังมีผลดีต่อชีวิตของหนูและคนรอบข้างอีกด้วย
  • เชื่อฟังพระเจ้า และวางใจในพระองค์

ข้อท่องจำ

“ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่” -ฮีบรู 11:6

T I P S สำหรับคุณครู

การลงวินัยกับเด็ก ครูต้องแยกแยะให้ออกว่าการที่เด็กซนกับการที่เด็กไม่เชื่อฟังนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน การที่เด็กเล่นซนในห้องเรียน มีวิธีแก้ไขได้โดยการให้เด็กมีโอกาสได้วิ่งเล่นก่อนเข้าห้องเรียน หรือครูเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้พลังงานบางส่วนก่อนที่จะเริ่มเรียน การจัดที่นั่งให้เด็กนั่งเป็นแถวสั้นๆ หรือมีเก้าอี้ให้เขานั่งก็มีความสำคัญในการรักษาวินัยอย่างมาก แต่การที่เด็กไม่เชื่อฟัง เมื่อครูพูดหรือสั่งให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่สมเหตุสมผล ครูควรจะเน้นและเข้มงวดให้เด็กเข้าใจว่าการเชื่อฟังเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในชีวิตของเด็ก ครูไม่ควรจะละเลยหรือไม่สนใจเมื่อมีเด็กในชั้นเรียนไม่เชื่อฟังกติกาของห้องเรียน

เกม “จ้ำจี้”

การเล่นเกมนี้คล้ายกับการละเล่นไทยทำนอง จ้ำจี้ผลไม้ เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อร้องดังนี้

                          “จ้ำจี้ พ่อแห่งความเชื่อ มีลูกยากเย็น

                          พอมีตัวน้อย ชื่อว่าอิสอัค

                          ต้องถูกบูชา แต่ใจเชื่อฟัง

                          พระเจ้าเห็นใจ จึงให้แกะน้อย มาตายแทนเอย!”

วิธีเล่น

  • หาผู้เล่น 1 คนเป็นคนจ้ำจี้ ครูอาจจะเป็นผู้นำก่อนครั้งแรก
  • ให้เด็กๆ นั่งล้อมวง วางมือทั้งสองข้างคว่ำลงบนพื้น ผู้จ้ำจี้วางลงเพียงมือเดียว
  • ผู้ร้องจ้ำจี้ จะเป็นคนเอานิ้วจี้ลงบนหลังมือของผู้เล่นแต่ละคนไล่เวียนรอบวง จนถึงคำสุดท้ายของเพลง หากจบลงที่มือของใคร มือนั้นจะต้องออก
  • ผู้ร้องจ้ำจี้จะเริ่มร้องเพลงใหม่จนเหลือมือสุดท้ายเพียงมือเดียว ซึ่งเจ้าของมือจะเป็นผู้ชนะ

บทนำเรื่อง

มิชชันานารีกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามารับใช้ในประเทศสยาม เริ่มในช่วงตอนปลายของรัชกาลที่ 3 ในช่วงปีค.ศ.1834—1840 มีกลุ่มมิชชันนารีของคณะอเมริกันมิชชั่นที่เดินทางเข้ามาในประเทศสยามของเราทั้งหมดประมาณสิบครอบครัวและหญิงโสดอีกหนึ่งคน หนึ่งในนั้นคือหมอบัดเล่ย์ผู้ที่ได้ทุ่มเทชีวิตของท่านให้กับประเทศไทยถึง 38 ปีพร้อมกับครอบครัวของท่าน

หนูลองนึกภาพในสมัยก่อนประมาณ 170 ปีมาแล้ว สภาพบ้านเมืองของไทยไม่เหมือนในเวลานี้ พวกมิชชันนารีเหล่านี้ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ออกจากบ้านเกิด จากครอบครัวและความสะดวก สบาย ลงเรือใหญ่เพื่อเดินทางข้ามมหาสมุทรมาถึงแผ่นดินสยาม ที่พวกเขาเองอาจจะไม่เคยเห็น เพียงแต่ได้ยินแต่คำบอกเล่า พวกเขาต้องมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างมากมายในการตัดสินใจครั้งนี้

หนูลองนึกภาพในสมัยนั้น ยังไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่มีห้องน้ำที่สะอาด ไม่มีรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะ เวลาเขาเดินทางจากกรุงเทพฯขึ้นไปเชียงใหม่ ต้องใช้เรือพายทวนน้ำขึ้นไปจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำปิง พวกเขาต้องใช้เวลาถึงสามเดือนในการเดินทาง ในขณะที่ปัจจุบันเราสามารถเดินทางได้โดยรถยนต์ รถไฟเพียง 8-10 ชั่วโมง หรือถ้าโดยเครื่องบินก็เพียง 50 นาทีเท่านั้น

สภาพอากาศ ภูมิประเทศ ความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากบ้านเกิดของพวกเขา เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อพวกเขา เพียงเดือนแรกที่พวกเขาเดินทางมาถึงมิชชันนารีคนหนึ่งก็จมน้ำเสียชีวิตระหว่างที่เดินทางไปประชุมอธิษฐาน ภรรยาของมิชชันนารีรวมถึงภรรยาของหมอบัดเล่ย์เสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรีย โรคปอดอักเสบ ชายสองคนตายด้วยโรควัณโรค

เพราะความเชื่อ พวกมิชชันนารีเหล่านี้ได้รับการเรียกจากพระเจ้าและการเชื่อฟังจนถึงที่สุดทำให้เขาเดินทางมาถึงประเทศสยาม ยอมแม้กระทั่งเสียสละชีวิตของตนเองและครอบครัว ครูคิดว่ามิชชันนารีเหล่านี้คงได้เรียนรู้เรื่องความเชื่อและการเชื่อฟังจากชีวิตของอับราฮัมไม่มากก็น้อย และมีหลายคนคงใช้ชีวิตของอับราฮัมเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อของพวกเขาในแผ่นดินสยามนี้

เล่าเรื่องจากพระคัมภีร์

บิดาแห่งความเชื่อ คืออับราฮัมและซาราห์ภรรยาได้ออกเดินทางจากบ้านเกิดของตน ไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาให้กับเขา ในเวลานั้นอับราฮัมก็อายุมากแล้ว ส่วนนางซาราห์ก็เป็นหมันไม่สามารถมีลูกได้ แต่ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทำพันธสัญญากับอับราฮัมว่าเขาจะมีลูกหลานมากมายดังดวงดาวในท้องฟ้า และเม็ดทรายบนหาดทราย  ซึ่งไม่ต้องใช้วิธีการทางการแพทย์  เพียงแต่อับราฮัมและซาราห์ต้องใช้ความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าเท่านั้น

ภาพที่ 1  พระเจ้าทำตามที่พระองค์สัญญาไว้กับอับราฮัม  ซาราห์ก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายคนหนึ่งให้แก่อับราฮัม เมื่อท่านชราแล้ว อับราฮัมตั้งชื่อลูกชายว่า “อิสอัค” แล้วอับราฮัมก็ทำพิธีเข้าสุหนัตให้แก่อิสอัคเมื่อมีอายุ 8 วันดังที่พระเจ้าบอกแก่ท่าน อับราฮัมมีอายุ 100 ปีเมื่ออิสอัคเกิด นางซาราห์จึงพูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ได้ฟังจะพลอยหัวเราะด้วย” นางพูดอีกว่า “ใครจะพูดกับอับราฮัมได้ว่าซาราห์จะให้เด็กกินนม แต่ฉันก็ได้คลอดลูกชายคนหนึ่งให้ท่านเมื่อท่านชราแล้ว”

หนูๆ ลองทายดูสิว่า ซาราห์มีลูกเมื่ออายุเท่าไร? ( ... , 30, 40, 50, ...) ซาราห์มีลูกชายเมื่ออายุ 90 ปี โอ้โห! อายุตั้ง 90 ปี  ถ้าเทียบกับอายุของหนูๆ ก็ต้องเรียกว่า คุณทวดซาราห์แล้วล่ะ ...แต่อย่าลืมว่า นี่เป็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะโดยปกติแล้วคนที่มีอายุ 90 ปีจะไม่สามารถมีลูกได้ ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีการทางการแพทย์ก็ไม่สามารถมีลูกได้ แต่พระเจ้าทำได้ทุกสิ่งตามที่พระองค์ต้องการ พระเจ้าอวยพรให้ซาราห์มีลูกได้ พระเจ้าของครูและของหนูยิ่งใหญ่และอัศจรรย์จริงๆ

เมื่ออิสอัคลูกชายคนเดียวของเขาเติบโตขึ้นเป็นที่รักของอับราฮัมและซาราห์ พระเจ้าได้ลองใจอับราฮัมและบอกกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านตอบว่า “พระเจ้าข้า” พระองค์บอกว่า “จงพาลูกชายของเจ้าคืออิสอัค ลูกชายคนเดียวของเจ้าที่เจ้ารักไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”

ภาพที่ 2  อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วย 2 คนกับอิสอัคลูกชายของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าบอกแก่ท่าน  พอถึงวันที่ 3 อับราฮัมมองเห็นที่นั้นแต่ไกล จึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า “อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระเจ้า แล้วจะกลับมาพบเจ้า” อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่า อิสอัคลูกชาย ส่วนท่านถือไฟและมีดและเดินทางต่อไปด้วยกัน อิสอัคพูดกับอับราฮัมว่า “คุณพ่อ” และท่านตอบว่า  “ลูกเอ๋ย  มีอะไรรึ” ลูกจึงว่า “นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย  พระเจ้าจะจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าบอกเขาไว้

ภาพที่ 3  อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบแล้วมัดอิสอัควางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าลูกชายถวายเป็นเครื่องบูชาตามที่พระเจ้าสั่งเขา หนูคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? แล้วจะมีใครมาช่วยอิสอัคไหม? แล้วเขาจะตายไหม? ไม่มีใครสามารถช่วยอิสอัคได้แล้วหรือ?

ในเวลานั้นเองฑูตของพระเจ้าเรียกอับราฮัมจากฟ้าสวรรค์ว่า “อับราฮัม อับราฮัม” และท่านตอบว่า “พระเจ้าข้า” ฑูตของพระเจ้าว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือทำอะไรเขาเลย เพราะเรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า  เจ้าไม่หวงลูกชายของเจ้า แต่ยอมถวายลูกชายคนเดียวของเจ้าให้เรา” อับราฮัมเงยหน้ามองเห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมจึงไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนลูกชาย อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์”

ภาพที่ 4  ฑูตของพระเจ้าเรียกอับราฮัมครั้งที่ 2 มาจากฟ้าสวรรค์ว่า “พระเจ้าบอกว่า เราให้คำมั่นสัญญาในนามของเราว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่หวงลูกชายของเจ้าคือ ลูกชายคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้นดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า  เพราะว่าเจ้าฟังเสียงของเรา อับราฮัมและอิสอัคจึงกลับไปพบคนใช้หนุ่มของท่านแล้วพากันกลับไป อับราฮัมก็อาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบา พระเจ้าอวยพรอับราฮัมและอิสอัค ความเชื่อที่อับราฮัมมีต่อพระเจ้านี้ พระเจ้านับว่าเขาเป็นคนชอบธรรม

แผนการแห่งความรอด

พระเจ้าต้องการรู้ว่าอับราฮัมเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าอับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่างจนยอมถวายลูกชายคนเดียวของเขาให้พระเจ้า อิสอัคก็เชื่อฟังพ่อของเขา พ่อบอกให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตาย เขาก็เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าได้จัดเตรียมลูกแกะไว้แล้วสำหรับอับราฮัม และพระเจ้าจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้ทุกคนในโลกนี้ที่เชื่อฟังพระองค์ด้วย นั่นก็คือพระเยซูคริสต์  พระเจ้ายอมให้พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปกรรมของมนุษย์ทุกคน และเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่ได้อยู่กับพระเจ้าและจะไม่ต้องได้รับการพิพากษาลงโทษ

พระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับหนูอย่างไร

ภาพที่ 5  หนูจะเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างไรในวันนี้? โดยการทำตามพระคำของพระเจ้า (ครูชูพระคัมภีร์ให้เด็กดู) เช่น จงเชื่อฟังบิดามารดา จงชื่นชมยินดีทุกเวลา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง และพระเจ้าต้องการรู้ว่าหนูจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? พระเจ้าต้องการอวยพรหนูทุกๆ คนเมื่อหนูเชื่อฟังพระองค์ สิ่งที่หนูควรทำในการเชื่อฟัง ไม่ว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง หรือคุณครู ได้แก่

 

  • หนูจะเชื่อฟังทันที
  • หนูจะเชื่อฟังทั้งหมด (ทุกอย่าง)
  • หนูจะเชื่อฟัง ทำตามด้วยใจยินดี
  • หนูจะเชื่อฟัง ทำตามโดยไม่บ่น

รูปภาพประกอบ

ข้อกำหนดในการใช้บทเรียนรูปภาพ  เราต้องการให้บทเรียนและรูปภาพประกอบเป็นพระพรสำหรับทุกท่าน ดังนั้นจึงขอความร่วมมือจากท่านที่จะไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือใช้ในทางที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์ของเรา

คำถามอภิปราย

  1. สมมุติว่าหนูอยู่ในเหตุการณ์ช่วงเวลานั้น ถ้าหนูเป็นอับราฮัมหนูจะรู้สึกอย่างไร? ... และถ้าหนูเป็นอิสอัคหนูจะรู้สึกอย่างไร? ...
  2. เมื่ออับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้ายอมถวายลูกชายคนเดียวตามที่พระเจ้าสั่ง พระเจ้าได้เตรียมลูกแกะให้อับราฮัมฆ่าถวายแทนอิสอัค ในวันนี้พระเจ้าได้ส่งใครมาเพื่อเป็นเครื่องบูชา และมาตายแทนตัวหนู?
  3. ถ้าหนูเชื่อในพระเยซูที่พระเจ้าส่งมา หนูจะได้รับอะไร? (รับชีวิตนิรันดร์ เป็นครอบครัวของพระเจ้า)
  4. ถ้าพระเจ้าให้หนูทำบางสิ่งที่ยากและหนูไม่ชอบ หนูจะเชื่อฟังและทำตามได้ไหม? (ให้เด็กๆ พูดถึงสิ่งที่ยากและไม่ชอบที่จะทำแต่จำเป็นต้องทำ พระเจ้าต้องการให้หนูทำทุกอย่างเหมือนทำให้กับพระองค์)
  5. พระเจ้าเคยอวยพรหนูอย่างไรเมื่อหนูเชื่อฟัง? (ให้เด็กๆ แบ่งปันประสบการณ์เมื่อเขาเชื่อฟังและผลที่ได้รับ)

กิจกรรม

กุญแจแห่งการเชื่อฟัง (งานประดิษฐ์)

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • แบบของกุญแจ ถ่ายเอกสารหรือลอกแบบลงบนกระดาษแข็ง (คนละ 4 ดอก)
  • ลวดอ่อนหรือเชือก
  • ที่เจาะรูกระดาษ
  • กรรไกร
  • ปากกา และสีสำหรับระบาย

วิธีทำ

  • แจกลูกกุญแจให้เด็กคนละ 4 ดอก และให้เด็กตัดกุญแจออกตามลาย
  • ครูอธิบายย้ำถึงสิ่งที่เด็กควรจะทำในการเชื่อฟัง 4 ประการจากบทเรียนที่เรียนไปคือ
    • - เชื่อฟังทันที
    • - เชื่อฟังทุกอย่างหรือทั้งหมด
    • - เชื่อฟัง ทำตามด้วยใจยินดี
    • - เชื่อฟัง ทำตามโดยไม่บ่น
  • ให้เด็กเขียนข้อความเหล่านี้ลงบนลูกกุญแจกระดาษ ระบายสีตกแต่งให้สวยงาม
  • เจาะรูลูกกุญแจแต่ละดอก (ครูอาจเจาะเตรียมไว้ให้เด็กก่อนก็ได้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในชั้นเรียน) แล้วให้เด็กร้อยเชือกหรือลวดอ่อน ทำให้เป็นพวงกุญแจแห่งการเชื่อฟัง

กิจกรรม

หนูจะเลือกทำอะไร?

ให้ครูเตรียมหาผู้ช่วยครู 1 คนมาร่วมในการแสดง หรือ หากในชั้นเรียนมีเด็กที่ชอบแสดงละคร ครูอาจจะติดต่อและเตรียมตัวกับเด็กนั้นก่อนเวลาเรียน การแสดงในหัวข้อที่ใกล้ตัวเด็กจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมาก ให้เด็กเข้าใจและสามารถนำไปใช้ในชีวิตของเขาที่เขามีทางเลือกสองทาง เมื่อพระเจ้าหรือคุณพ่อคุณแม่ขอให้เขาทำบางอย่าง เขาสามารถเลือกที่จะเชื่อฟัง หรือ หากเขาเมินเฉยนั่นหมายถึงเขาเลือกที่จะไม่เชื่อฟัง และแน่นอนที่สุดการตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการเลือกที่จะเชื่อฟัง ยกตัวอย่างเช่น

หัวข้อ—ทำการบ้าน

ฉากการแสดง—เด็กหิ้วกระเป๋ากลับมาจากโรงเรียน เมื่อสวัสดีคุณแม่แล้ว คุณแม่เอาขนมให้ทานแล้วสั่งให้ลูกไปนั่งที่โต๊ะแล้วทำการบ้านให้เสร็จ ก่อนที่จะออกไปเล่น

ทางเลือก (ครูและผู้ช่วยแสดงหน้าห้อง แล้วให้เด็กเลือกว่าเขาควรจะทำอะไร)

  1. เด็กบอกแม่ว่าเดี๋ยวค่อยทำแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน หรือ เด็กเดินไปที่โต๊ะนำการบ้านออกมาเริ่มทำ
  2. เด็กนำการบ้านออกมาทำด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เอะอะเสียงดัง หรือ เด็กเปิดสมุดการบ้านแล้วนั่งทำด้วยความตั้งใจ แล้วบอกคุณแม่ว่าวันนี้มีการบ้านอะไรบ้าง
  3. เด็กนั่งทำการบ้านจนเสร็จ หรือ เด็กนั่งทำการบ้านได้แป๊บเดียว ทิ้งการบ้านไว้บนโต๊ะแล้วไปวิ่งเล่น
  4. เด็กนั่งทำการบ้าน แล้วก็ออดอ้อนคุณแม่ว่า ไม่อยากทำ ไม่อยากทำ อยากจะดูทีวีมากกว่า ไม่ทำได้ไหม หรือ เด็กนั่งทำการบ้านจนเสร็จเรียบร้อย แล้วเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะออกไปเล่นข้างนอก

หัวข้อ—ปิดโทรทัศน์

ฉากการแสดง—เด็กกำลังนั่งดูโทรทัศน์ด้วยอาการง่วงนอน เพราะเป็นเวลาที่ต้องเข้านอนแล้ว คุณแม่ออกมาสั่งให้เด็กปิดโทรทัศน์เพื่อไปเข้านอนเพื่อพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียน

ทางเลือก (หนูจะเลือกทำอะไร)

  1. เด็กเดินไปปิดโทรทัศน์แล้วเข้านอน หรือ เด็กทำหูทวนลม จับรีโมทเปลี่ยนช่องโน้นที ช่องนี้ที
  2. เด็กอ้อนคุณแม่ บอกว่าเดี๋ยว ดูละครเรื่องนี้ให้จบก่อน หรือ เด็กปิดโทรทัศน์ เดินไปแปรงฟันเข้านอน
  3. เด็กปิดโทรทัศน์ นำรีโมทไปเก็บ แล้วบอกราตรีสวัสดิ์ หรือ เด็กปิดโทรทัศน์ เมื่อแม่เดินเข้าห้องไป ก็เปิดโทรทัศน์อีกทีหนึ่ง

หัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก—เมื่อขอให้ช่วยงาน, เก็บของในห้องของตัวเอง, ขอให้เงียบในห้องเรียน

กิจกรรม

ทำที่บ้าน